ดร.พ่อบุญธรรม ดารานักแสดงชื่อดังทาเคชิ แฉลูกได้ดีแล้วหาย
ดร.พ่อบุญธรรมดารานักแสดงชื่อดัง "ทาเคชิ" ออกมาแฉลูกดังแล้วถูกเท ทิ้งหนี้สินไว้หลายล้านให้รับผิดชอบลำพัง ทั้งที่ดูแลประคบประหงมอย่างดี แถมให้เรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่พอลูกดังได้ดีแล้วกลับทิ้งพ่อ
วันนี้ (14 มิ.ย.2564) กรณีที่หมู่บ้านโฟลว์ (FLOW) ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ดร.ณัฐพงศ์ หรือ พัทธนันท์พุดหล้า อาจารย์ประจำหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของ "ทาเคชิ" หรือชื่อเดิม นายชนะศักดิ์พงศ์ พุดหล้า ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น นายชนะศักดิ์ สุทธะพินทุ ดารานักแสดงและพิธีกรชื่อดังทางช่อง 7 สี เรื่อง สารวัตรแม่ลูกอ่อน และพิธีกรรายการ "ตรอกข่าวสาร" ทางทีวีพูล ได้ออกมาประกาศขายบ้านที่หมู่บ้านดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ามีความจำเป็นทางด้านการเงินและกำลังจะถูกธนาคารฟ้องร้อง พร้อมกับเปิดเผยประเด็นความขัดแย้งภายในครอบครัวที่ทำให้ "ทาเคชิ" ลูกบุญธรรมขอตัดความสัมพันธ์ความเป็นพ่อบุญธรรมและความเป็นผู้ปกครอง จนถึงขั้นฟ้องร้องกัน และต่อมาได้มีการเซ็นยกเลิกการเป็นพ่อบุญธรรมและผู้ปกครอง กับมีการหย่าร้างกับภรรยาในที่สุดด้วย
ซึ่งต่อมาดร.ณัฐพงศ์ ได้ยื่นฟ้องให้ภรรยาและทาเคชิ ร่วมรับผิดชอบหนี้สินที่ได้กู้มาประมาณ 4 ล้านกว่าบาท กับธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย โดยแบ่งหนี้ออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนของดร.ณัฐพงศ์ฯ ส่วนของอดีตภรรยา และส่วนของทาเคชิ เพราะตนแบกรับภาระหนี้สินไม่ไหว หาเงินใช้หนี้คนเดียวไม่พอ จนต้องถูกธนาคารฟ้องให้ชดใช้หนี้สิน ซึ่งปัจจุบันเรื่องยังอยู่ชั้นการพิจารณาของศาลตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
โดยทางด้านของ ดร.ณัฐพงศ์ ได้เปิดใจอีกครั้งถึงเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ว่า "ตั้งแต่ผมและภรรยาได้ขอน้อง "ทาเคชิ" มาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ตอนน้องเรียนอยู่ชั้น ม.3 อายุประมาณ 15 ปี และได้ส่งเสริมให้ได้เรียนและทำกิจกรรม จนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร วิชาเอกการแสดง จนจบปริญญาตรี โดยระหว่างนั้นผมได้กู้เงินธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย รวม 2 ธนาคาร เป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้เข้าสู่วงการแสดง และได้เช่าคอนโด ซื้อรถยนต์ ให้ใช้ และจะมีค่าใช้จ่ายๆ อื่น เพื่อปรับลุคให้พร้อมสำหรับเป็นนักแสดง โดยมีภรรยาของตนเองลาออกจากข้าราชครูมาเป็นผู้ดูแลลูกชายที่กรุงเทพฯ จนลูกประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป แต่หลังจากนั้นด้วยความที่อยากให้ลูกตื่นตัว มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ดูแลร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับทำงานด้านการแสดงและพิธีกรอยู่ตลอดเวลา จึงได้เข้มงวดกำชับให้ลูกปฏิบัติตาม แต่ก็ทำให้ลูกไม่พอใจเหมือนถูกบังคับ จนวันหนึ่งเห็นลูกตื่นมาก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์ ไม่อาบน้ำ ไม่มีความกระตือรือร้น จึงเข้าไปต่อว่า แต่ถูกลูกตะคอกใส่และทำร้ายร่างกาย จนในที่สุด ลูกได้ขอตัดความสัมพันธ์ความเป็นพ่อบุญธรรม และความเป็นผู้ปกครอง จนถึงขั้นฟ้องร้องกัน และมีการเซ็นต์ยกเลิกการเป็นพ่อบุญธรรม ส่วนผมกับภรรยาก็ได้หย่าร้างกันด้วย ตอนนี้จึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ต้องต่อสู้กับปัญหาภาระหนี้สินเพียงลำพัง โดยมีหนี้ในระบบอยู่ประมาณ 4 ล้านกว่า และยังมีหนี้นอกระบบอีก รวมแล้วกว่า 7 ล้านบาท
ดังนั้น การจะพูดหรือต่อสู้อะไร จำเป็นต้องพูดด้วยหลักฐาน และมูลเหตุของความขัดแย้งก็มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกันไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเป็นนักแสดง การดูแลตนเองให้พร้อมรับงาน เรื่องชู้สาว เรื่องความประพฤติ การวางตัว และอีกหลายๆอย่าง ส่วนประเด็นหนี้สินเริ่มมาจากการที่ตนต้องดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด เนื่องจากภรรยาออกจากงานเพื่อมาดูแล "ทาเคชิ" ลูกบุญธรรมอย่างเต็มตัว ส่วนทาเคชิก็รับงานได้น้อยลง เพราะต้องเรียนให้จบก่อน จึงรายได้ลด ตนจึงต้องวิ่งเต้นหากู้ยืมเงินมาจัดสรรให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยทาเคชิไม่เคยรับรู้รับทราบปัญหาหนี้สินเหล่านี้ มีเพียงภรรยาที่รับทราบร่วมกันว่า ตนไปกู้ยืมเงินมาจากที่ใดบ้างเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งกันขึ้น ก็จะโยนความผิดมาที่ตนเพียงคนเดียว
ซึ่งเหตุผลที่ตนรับทาเคชิมาเลี้ยงดูก็ด้วยความรักและอยากจะส่งเสริมให้ได้ดีตามเส้นทางที่ทาเคชิต้องการ จึงยอมทุ่มทุนลงทุนทุกอย่างเพื่อให้มีตัวตนในวงการบันเทิง โดยจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกที่ว่า เมื่อโด่งดังไปแล้ว จะได้มีเงินมีทองใช้จ่าย ปลดเปลื้องหนี้สิน และยังได้เผื่อแผ่ดูแลพ่อแม่พี่น้องให้มีความสุขไปด้วย แต่เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนไป ตนก็อยากจะให้ลูกและภรรยามีความรับผิดชอบ อย่าได้ทิ้งภาระให้ตนเพียงคนเดียว จึงได้พึ่งศาลเพื่อขอความเป็นธรรม โดยหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเพื่อมาใช้จ่ายให้กับ "ทาเคชิ" ตนเองเก็บไว้หมด และเตรียมที่จะแถลงต่อศาลต่อไป ซึ่งช่วงนี้ตนก็ต้องวิ่งเต้นหาเงินมาจ่ายหนี้รายเดือน โดยน้องของตนได้ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการประกาศขายบ้านที่น้องให้ตนพาแม่มาอาศัยดูแล เพื่อนำเงินส่วนต่างมาช่วยแบ่งเบาชำระหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ไปก่อน ก่อนที่ทางธนาคารฯ จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดฟ้องร้องให้ตนเป็นบุคคลล้มละลาย" ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว