เปิดยอดนักเรียนสังกัด กทม. ยินยอมฉีดวัคซีนไฟเซอร์
ผลสำรวจนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 109 โรงเรียน ที่ยินยอมรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์
ความคืบหน้าการสำรวจข้อมูลเด็กนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยสำนักอนามัย ได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมการฉีดวัคซีนให้เด็กที่มีอายุ 12-17 ปี ซึ่งศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น - ตอนปลาย ปวช. ปวส. หรือเทียบเท่าทุกสังกัด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กำหนดให้เริ่มฉีดวัคซีนในวันที่ 4 ต.ค. 64
สำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม. สำนักการศึกษาได้ดำเนินการสำรวจความต้องการวัคซีนไฟเซอร์ ตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำรวจนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 109 โรงเรียน และรวบรวมข้อมูลเด็กนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยนักเรียนที่แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน ทั้งสิ้น 33,047 คน คิดเป็นร้อยละ 88.21 ของนักเรียนทั้งหมด
รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อวางแผนขับเคลื่อนและกำหนดแนวทางการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ให้เหมาะสม รัดกุม เป็นไปได้ตามกรอบเวลา เบื้องต้นวางแผนจะฉีดวัคซีนในรูปแบบ School-based กระจายภาระงานตามพื้นที่ โดยศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง สังกัดสำนักอนามัยดูแล กรณีที่มีนักเรียนจำนวนมากและสถานที่ไม่เอื้อต่อมาตรการป้องกันควบคุมโรคจะใช้หน่วยฉีดวัคซีนอื่นที่สำนักงานเขตกำหนด
สำนักการศึกษา ได้เร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติและการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป ในช่องทางสื่อสารต่าง ๆ และจะแจ้งวัน เวลา และสถานที่นัดหมายในการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กนักเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้กับผู้ปกครองทราบต่อไป ในส่วนของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครที่พักอาศัยอยู่นอกพื้นที่และมีความประสงค์เข้ารับการฉีดวัคซีนในพื้นที่ต่างจังหวัด สำนักการศึกษาได้ดำเนินการส่งรายชื่อดังกล่าวให้ศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานครเพื่อดำเนินการต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews