สามีร้องไห้โฮ แท็กซี่ชนสาวท้องแก่ดับ ข้องใจรถฉุกเฉินไม่รีบพาส่งโรงพยาบาล
สามีร้องไห้โฮ แท็กซี่ชนสาวท้องแก่ดับพร้อมลูก เผยข้องใจรถฉุกเฉินไม่รีบพาส่งโรงพยาบาลมัวแต่รอบัตรประชาชน ปล่อยนอนรอกว่า 40 นาที กว่าจะถึงโรงพยาบาลก็เสียชีวิตแล้ว
วันที่ 26 ตุลาคม 2564 ที่นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช ญาติเข้ารับร่างสาวท้องแก่ถูกแท็กซี่ชนเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ขณะที่สามีผู้เสียชีวิตระบุติดใจรถฉุกเฉินนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลช้าต้องอยู่ในรถฉุกเฉินเกือบ 40 นาที เหตุเพราะต้องการแค่บัตรประชาชน
ครอบครัวของนางสาว นลิน การประเสริฐ 21 ปี หลังจากแท็กซี่ชนสาวท้องแก่หน้าตลาดบางแค ถนนเพชรเกษมฝั่งขาออก เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เข้ารับร่างที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลศิริราช ส่วนโลงเด็ก ทางญาติได้นำเบาะ ขวดนม และของเล่นมาใส่ไว้ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งแม่ของผู้เสียชีวิตและสามี ต่างทำใจยอมรับไม่ได้ และระหว่างที่นำร่างลูกออกมา นายปาย ผู้เป็นสามีและพ่อ ถึงกับเข่าอ่อน ก่อนร้องไห้ออกมา และพูดว่า "เป็นลูกสาวจริงๆ ด้วย" ก่อนจะเดินไปดูหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยตลอดการทำพิธีผู้เป็นพ่อแทบล้มทั้งยืน และร้องไห้ด้วยความเสียใจ
โดยนายชนายุทธ เรืองศรี หรือ ปาย ของนางสาว นลิน ที่เสียชีวิต เล่าว่าวันเกิดเหตุตนเองและภรรยาที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปเพื่อรับประทานอาหารและจะเดินทางไปพบหมอเนื่องจากภรรยามีอาการปวดท้อง
ระหว่างที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ถึงบริเวณสะพานตลาดบางแคได้มีสุนัขวิ่งตัดหน้าทำให้รถของตนเองชนสุนัขกระทั่งเสียหลัก ทำให้ตนเองกระเด็นหลุดออกจากรถตกมาอยู่เลนฝั่งด้านซ้ายขณะที่ภรรยากระเด็นตกไปอยู่ฝั่งเลนกลางด้านขวา ซึ่งตนเองรีบวิ่งพยายามที่จะไปช่วยเหลือได้ยื่นมือจะดึงภรรยาออกจากบริเวณกลางถนนแต่ไม่สามารถช่วยได้ทันเพราะระหว่างนั้นมีรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน ทษ-9557 กทม.สีส้ม วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนและลากร่างภรรยาของตนเองไปกว่า 100 เมตร พร้อมกับทับไปที่ร่างภรรยาของตนเอง ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ก่อนที่ภรรยาของตนเองจะกระเด็นหลุดออกมา แต่แท็กซี่ชนสาวท้องแก่คันก่อเหตุยังไม่ยอมหยุด ก่อนที่จะมีรถจักรยานยนต์ของพลเมืองดีวิ่งไปขวางหน้ารถแท็กซี่จนถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ
ขณะที่ตนเองได้พยายามเข้าไปช่วยภรรยาที่นอนร้องครวญครางซึ่งมีบาดแผลบริเวณแขนซ้ายหักผิดรูป ดั้งจมูกหัก มีรอยถลอกตามตัว พร้อมกับเอามือกุมไว้ที่หน้าท้องด้วยความเป็นห่วงลูกที่อยู่ในครรภ์ ต่อมาได้มีหน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นแต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายภรรยาของตนเองที่บาดเจ็บสาหัสและตั้งครรภ์ไปส่งโรงพยาบาลได้ ต้องรอให้รถฉุกเฉินที่มีเครื่องมือในการช่วยชีวิตเข้าให้การช่วยเหลือ
แต่เมื่อรถฉุกเฉินมาถึงได้นำภรรยาของตนเองขึ้นรถแต่ยังไม่ได้ส่งไปโรงพยาบาลโดยทันที โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าหากไม่มีบัตรประชาชนยังไม่สามารถที่จะนำส่งได้ ทำให้ภรรยาของตนเองที่มีอาการสาหัสต้องนอนอยู่บนรถฉุกเฉินกว่า 40 นาที ก่อนที่จะนำตัวไปส่งยังโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ์ของภรรยาตนเอง
แต่เมื่อไปถึงภรรยาได้หมดลมหายใจแล้วซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามช่วยปั๊มหัวใจแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตภรรยาและลูกของตนเองที่อยู่ในท้องได้ จึงตั้งข้อสงสัยว่าหากรถฉุกเฉินตัดสินใจนำภรรยาของตนเองส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอาจจะทำให้ภรรยาของตนเองไม่เสียชีวิต
นางนงนภัส ตั้งนิมิตโซค อายุ 59 ปี แม่ของผู้เสียชีวิตเปิดเผยว่า อยากให้ลูกและหลานมีชีวิตเหมือนเดิมไม่อยากให้ถึงแก่ความตายรักลูกและหลานที่กำลังจะเกิดมาก แต่เมื่อถึงอายุขัยของเขาแล้วก็ขอให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีชาติหน้าขอให้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก พร้อมกับยืนยันว่าจะเรียกร้องให้ผู้ที่ขับรถชนลูกสาวรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง
ด้านพนักงานสอบสวน สน. หลักสอง เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดพร้อมด้วยพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์และรอผลทางนิติวิทยาศาสตร์ของการผ่าชันสูตรศพ.เพื่อนำมาประกอบ และจะเรียกทั้งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีผู้เสียชีวิตและคนขับรถแท็กซี่เข้าให้ปากคำ ก่อนที่จะสามารถสรุปและแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป