ไทยยังไม่ยก"ฝีดาษลิง"เป็นโรคติดต่ออันตราย เนื่องจากไม่เข้านิยาม
ไทยยังไม่ยก"ฝีดาษลิง"เป็นโรคติดต่ออันตราย เนื่องจากไม่เข้านิยาม แค่เฝ้าระวัง การประชุมของคณะกรรมการวิชาการ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อพิจารณาว่าจะมีการยกระดับโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยจากที่ประกาศเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังเป็นโรคติดต่ออันตราย
ไทยยังไม่ยก"ฝีดาษลิง"เป็นโรคติดต่ออันตราย เนื่องจากไม่เข้านิยาม แค่เฝ้าระวัง
ไทยยังไม่ยกระดับฝีดาษลิง โรคติดต่ออันตราย เนื่องจากยังไม่เข้านิยาม แค่เฝ้าระวัง คกก.วิชาการ โรคติดต่อ ยังไม่ยก “ฝีดาษลิง”จากโรคติดต่อเฝ้าระวังเป็นโรคติดต่ออันตราย ยังไม่เข้านิยาม ระบุโรคไม่อันตราย-แพร่ไม่เร็ว กำชับสธ.คัดกรองให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ระบบการแพทย์สาธารณสุขไทยรองรับได้
จากการที่องค์การอนามัยโลก(WHO) มีการประกาศให้โรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ไทยได้มีการยกระดับศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโรคฝีดาษวานร(EOC)จากระดับกรมควบคุมโรคเป็นระดับกระทรวง ประเทศไทยได้มีการยกระดับศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโรคฝีดาษลิง หรืออีโอซี (EOC) จากระดับกรมควบคุมโรค รวมถึง มีการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อพิจารณาว่าจะมีการยกระดับโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยจากที่ประกาศเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือไม่ในอนาคต
เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 25 ก.ค.2565 นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการวิชาการ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558ว่า โดยสรุปคณะกรรมการฯเห็นด้วยกับการการดำเนินงานของสธ.ที่มีการยกระดับศูนย์EOC จากระดับกรมเป็นระดับกระทรวง และมีคำแนะนำในเรื่องของการเฝ้าระวังและ ให้มีการคัดกรองให้ครอบคลุมทุกกลุ่มครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ระบบสุขภาพ ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยถือว่าสามารถรองรับได้สำหรับโรคฝีดาษวานรภายใต้ศักบภาพที่มีอยู่
“ส่วนกรณีโรคฝีดาษวานรที่ประกาศให้เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังอยู่และจะเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือไม่นั้น เนื่องจากพ.ร.บ.โรคติดต่อพ.ศ.2558 นิยามกำหนดไว้ว่า โรคติดต่ออันตรายต้องมีอาการรุนแรง และแพร่ได้ง่าย รวดเร็ว ซึ่งโรคฝีดาษาวานรยังไม่เข้านิยามนี้ คณะกรรมการวิชาการฯจึงเห็นชอบให้คงการเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังต่อไปก่อน ส่วนด้านการรักษา ได้มีการมอบหมายกรมการแพทย์ในการดำเนินการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการดูแลรักษาต่อไป โดยให้ทำแนวทางการรักษาให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับหากกรณีที่มีผู้ป่วยมากขึ้น”นพ.จักรรัฐกล่าว